เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ มิ.ย. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม สัจธรรมนะ เวลาสัจธรรม ถ้าพระพุทธศาสนาสอนเรื่องอริยสัจ สอนทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แต่เราแสวงหากัน เราแสวงหาสัจธรรมอันนี้ ถ้าแสวงหาสัจธรรมอันนี้ มันก็ต้องมีทาน ศีล ภาวนา

คำว่า “เรื่องของทานๆ” การเสียสละ เสียสละเพื่ออะไร เสียสละเพื่อให้หัวใจมีจิตใจเป็นสาธารณะไง ถ้าจิตใจเป็นสาธารณะ จิตใจจะฟังเหตุฟังผล ถ้าจิตใจไม่เป็นสาธารณะ จิตใจเห็นแก่ตัว ต้องฝึกหัดเสียสละทาน เสียสละทานเพื่ออะไรล่ะ เสียสละทานเพื่อหัวใจดวงนั้นไง

เวลาเราทำบุญกุศลนะ เราทำบุญกุศลเพื่อใคร เราทำบุญกุศลเพื่อหัวใจของเรานะ ทำบุญกุศลเพื่อเราๆ แต่เวลาเราสละออกไป ผู้ที่ได้รับ เห็นไหม ผู้ที่เสียสละออกไป เขาได้รับส่วนบุญส่วนกุศล ได้รับปัจจัยเครื่องอาศัยจากเรา เขาจะมีความสุข ความสงบ ความระงับของเขา ถ้าการกระทำของเขามันจะมีบารมี

คำว่า “มีบารมี” คนไปไหนก็แล้วแต่ถ้ามีจิตใจที่เป็นสาธารณะ ไปที่ไหนมีแต่คนนับหน้าถือตา คนไหนที่เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว คนที่เห็นแก่ตัว ไปไหนมีแต่คนรังเกียจ ความรังเกียจอย่างนั้น นี่ไง สร้างอำนาจวาสนาบารมีไง เราจะเสียสละ เสียสละเพื่อหัวใจดวงนี้ ถ้าเสียสละเพื่อหัวใจดวงนี้ คนที่ฉลาดเขาทำของเขาด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส เขาทำของเขาด้วยหัวใจของเขา นี่เรื่องของทาน

เรื่องของศีล เรื่องของศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจเป็นปกติ ใจเป็นปกติทำสิ่งใดมันก็มีหลักมีเกณฑ์ ใจของเรามันวอกแวกวอแวของเรา ใจของเรามันเห็นแก่ตัวตลอดเวลา

เวลาทาน ศีล ภาวนา เวลาภาวนาขึ้นมา เราภาวนาเพื่อใคร เวลาเราภาวนา คนที่จะเห็นสัจธรรม คนที่เห็นสัจธรรม คนที่เห็นความทุกข์ทางโลก ถ้าความทุกข์ทางโลกมันมีความทุกข์ความยากอย่างนั้น ความทุกข์ความยากอย่างนั้นมันเป็นความทุกข์ประจำโลกไง เราเกิดมากับโลกเขานะ เราเกิดมา เรามีเวรมีกรรมเราถึงต้องเกิด เราปฏิเสธการเกิดไม่ได้ ถ้าเราปฏิเสธการเกิด ใครๆ ก็ไม่อยากจะเกิดทั้งนั้นน่ะ ใครๆ ก็อยากจะไปนิพพาน ใครๆ ก็อยากจะสิ้นจากทุกข์ไปทั้งนั้นน่ะ แต่มันเป็นผลของเวรของกรรมไง ผลของเวรของกรรมมีการกระทำมา

การเกิด เราเกิดมาแล้วเป็นญาติกันโดยธรรม เกิดมาแล้วเสมอภาคกันโดยมีปากมีท้องเสมอกันไง เรามีชีวิตเสมอกัน เรามีความทุกข์ความยากในใจเสมอกัน แต่ความทุกข์ความยากที่มันกดดันในใจ ที่มันมีมากมีน้อยมันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคน อำนาจวาสนาของคน ถ้ามีอำนาจวาสนาของคน เกิดมาแล้วเห็นภัยในวัฏสงสาร อยู่กับโลกมันเป็นความทุกข์ประจำโลกไง พอความทุกข์ประจำโลก เราแสวงหาของเรา การแสวงหาของเรา ทาน ศีล ภาวนาไง

ถ้าเราจะภาวนาของเรา จิตใจมันต้องประเสริฐ ถ้าจิตใจไม่ประเสริฐ ประเสริฐเพราะอะไร ประเสริฐขึ้นมา คนทำบุญกุศล คนทำคุณงามความดีของเขาก็เพื่อความดีของเขาใช่ไหม ไอ้นี่เราทำคุณงามความดีของเรา ความดีของเราทำไมมันทุกข์มันยากขนาดนี้ล่ะ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนานะ

คนที่บวชใหม่ๆ เวลาออกธุดงค์เข้าป่าเข้าเขาไป เวลาเข้าไปมันมีความหวาดระแวงทั้งนั้นน่ะ มันไปหวาดระแวงเพื่ออะไรล่ะ เราเข้าไปทำไมล่ะ ดูสิ คนกลัวผีๆ กลัวผีแล้วเราเข้าไปทำไม ป่าช้าน่ะ เราเข้าไปป่าช้าเพื่อแสวงหาตัวตนของเราไง ถ้าแสวงหาตัวตนของเรา ถ้าเราทำความสงบของใจของเราเข้ามาได้ ทาน ศีล ภาวนา ถ้าทาน ศีล ภาวนา เป็นสัจจะเป็นความจริง เวลาเป็นอริยสัจ

พระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย แล้วธรรมมันคืออะไรล่ะ ธรรมมันเป็นอย่างไรล่ะ เวลาธรรมเป็นอย่างไร มันก็ศึกษาพระไตรปิฎก ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง “ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ” อวดรู้อวดเก่งว่าตัวเองรู้ ตัวเองเก่งไง ธรรมะเป็นธรรมชาติมันก็แปรปรวนไปไง ว่าความจำได้ๆ เดี๋ยวก็ลืม ศึกษาก็ไปเปิดหนังสือดูทบทวนไง นี่ไง ถ้ามันเป็น เพราะมันเป็นสามัญสำนึกไง มันเป็นสัญชาตญาณของคนไง

แต่เวลาจะทำความจริงๆ ขึ้นมาล่ะ ถ้าความจริงขึ้นมา ถ้าจิตมันเป็นสมาธิ สมาธิคือตัวมันเป็นสมาธิ ไม่ใช่ชื่อสมาธิ สมาธิเป็นชื่อของมัน เวลาเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญามันถอดมันถอนขึ้นมา ปัญญามันเกิดขึ้นมา เกิดภาวนามยปัญญา มันสำรอกมันคายกิเลสออกไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปได้อย่างไร มันเห็นๆ ต่อหน้า ยถาภูตํ ญาณทสฺสนํ

ยถาภูตํ เห็นกิเลสมันตายต่อหน้า แล้วยังเกิดญาณทัสสนะรู้เห็นไปอย่างนั้นนะ เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด จงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด นี่คือสัจธรรมไง เราแสวงหาสิ่งนี้กัน ถ้าแสวงหาสิ่งนี้ นี่เป็นหัวใจไง ถ้าหัวใจแล้วมันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นมาจากไหน เกิดขึ้นมาจากความขยันหมั่นเพียรของเราไง เกิดขึ้นมาจากสติปัญญาของเรา ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา เราจะทำของเรา ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา มันพอใจจะทำ ใครจะอยากทุกข์อยากยากล่ะ

มนุษย์เราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ แต่ความเพียรนี้ต้องเป็นความเพียรที่ถูกต้องดีงามนะ เป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นที่ถูกต้องดีงาม ถ้าเป็นความเพียร ความเพียรอัตตกิลมถานุโยค ความเพียรแล้วมันไม่ได้สิ่งใดตอบแทนไง ถ้าไม่ได้สิ่งใดตอบแทนมันก็เป็นความฝึกฝนอันนั้นไปเท่านั้น ถ้ามันเป็นความฝึกฝนอันนั้นไป ถ้าฝึกฝนอันนั้นไป ถ้ามันชอบ มันความเห็นไปด้วยมันก็เป็นจริตนิสัย มันก็ออกนอกลู่นอกทางไป แต่ถ้ามันติดแต่ความสุขของตน ติดตัวตนของตน มันก็ว่าตัวเองดีตัวเองเก่งอยู่คนเดียวเท่านั้นแหละ แต่ถ้ามันเป็นความจริง มัชฌิมาปฏิปทาเป็นความสมดุล เป็นความจริง

ความจริงคืออะไร ความจริงคือธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันต้องมีเหตุมีปัจจัยสิ ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ผู้ที่ปฏิบัติมันไม่เกิดมรรคในหัวใจ เกิดมรรคคือศีล สมาธิ ปัญญามันไม่เกิดขึ้นมา เวลาธรรมเกิดขึ้นมา ธรรมจักรๆ จักรที่มันหมุนๆ ที่ปัญญามันหมุน

ปัญญาอย่างเรานี่ปัญญาฝึกฝนนะ ปัญญาที่เราฝึกฝนขึ้นมามันเป็นสัญชาตญาณนะ มันต้องมีสติ ต้องมีการวิเคราะห์วิจัยขึ้นมามันจะเกิดเชาวน์ปัญญาขึ้นมา เวลาปัญญาเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบแล้วน้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันน้อมไปมันเห็นของมัน ถ้ามันเห็นของมัน เวลามันเห็นของมันแล้ว ดูสิ เวลาธรรมจักร สัจธรรม

โลกเรานี้เป็นกงจักร กงจักรมันทำลายไปทั้งนั้นน่ะ มันทำลายชีวิตคนไปทั้งนั้นน่ะ แล้วธรรมจักรๆ ธรรมจักรมันไม่ทำลายชีวิตคนนะ มันทำลายกิเลสๆ ถ้ามันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นมาอย่างไรล่ะ ถ้ามันเกิดขึ้นมา ถ้ามันไม่มีเหตุมีผล มันจะเชื่อไหม ถ้าไม่มีเหตุมีผล มันจะมีการกระทำไหม ถ้ามีการกระทำ นี่ไง ในหัวใจมันมีการกระทำอันนี้ขึ้นมาไง ถ้ามีการกระทำอันนี้ นี่ไง มันถึงต้องแสวงหาไง

เวลาพูดถึงอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สัจจะเป็นความจริงๆ ไง เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด เวลาเราเกิดมาก็มีพ่อแม่เป็นที่พึ่ง มีชาติมีตระกูลเป็นที่พึ่ง เจ็บปวดสิ่งใดมาก็กลับไปครอบครัวของเรา ครอบครัวก็ปลอบประโลม เราก็มีครอบครัวมีที่พึ่ง เราก็มีพ่อมีแม่เป็นที่พึ่งทั้งนั้นน่ะ พ่อแม่เป็นที่พึ่ง ดูสิ มันก็ได้ปลอบประโลมกันเท่านั้นน่ะ แต่เวลามันมีธรรมเป็นที่พึ่งๆ เรายิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา เราจะเจอวิกฤติอย่างใด จะเจอสภาพแบบใดนะ มันเป็นของมันอย่างนี้ ถ้ามันมีเวรมีกรรมนะ

ถ้ามีสติปัญญา คลื่นลมจะรุนแรงขนาดไหน จะซัดเข้าหาหัวใจเราขนาดไหน เราก็มีสติปัญญาสามารถแยกแยะได้ เรามีสติปัญญา นี่เรามีธรรมเป็นที่พึ่ง เรามีสติมีปัญญาเป็นปัจจุบันเรานี่ มันจะโหมมาขนาดไหน มันจะโหมมาขนาดไหนให้มันโหมเข้ามาเถอะ เรามีสติปัญญาแยกแยะได้ เรามีสติปัญญาของเราแยกแยะได้ เราแยกแยะได้ ถ้ามันแยกแยะ เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งๆ แล้วธรรมอันนี้มาจากไหนล่ะ

มันก็เกิดจากเราเริ่มต้นมานี่แหละ มาวัดมาวา มาวัดมาวาก็มาทำทานของเรานะ มาเสียสละของเรานะ มาพัฒนาหัวใจของเรา นั่นคือระดับของทาน เวลามาวัดมาวาแล้วได้ฟังธรรมๆ เราให้ธรรมเป็นทานๆ ธรรมเป็นทานก็เตือนเรานี่แหละ

เวลาหลวงตาท่านเทศน์ ท่านบอกว่าท่านเทศน์ตั้งแต่ตัวท่านเป็นต้นไปเลย ท่านเทศน์จนถึงตัวท่านเองด้วย เพราะท่านก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มนุษย์คนหนึ่งแล้วมีศรัทธาความเชื่อมาบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา แล้วท่านก็ขวนขวายของท่านๆ ท่านรู้เล่ห์เหลี่ยมของมัน ท่านรู้เรื่องกิเลสของมันไง

เวลาเราจะสอนคนอื่นๆ สอนเก่งไปหมดเลยสอนคนอื่นน่ะ ไม่รู้จักตัวเองเลย ไม่รู้จักสติปัญญาของตนเลย ไม่รู้ถึงสามัญสำนึกว่ามันเป็นอย่างไรเลย แต่ครูบาอาจารย์ท่านบอกเวลาท่านเทศนาว่าการ ท่านเริ่มต้นจากตัวท่านไปไง เพราะท่านล้มลุกคลุกคลานมาก่อน ท่านเห็นภัยของมันไง เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เริ่มต้นใหม่ๆ มันหนาแน่น มันไม่มีทางออกเลย ไปทางไหนมันมืดบอดไปหมดเลย แต่เวลาศึกษามาแล้วรู้ เก่งหมดนะ เวลาทำจริงๆ มันไปไม่รอดสักคนหนึ่ง แต่เวลาจะไปรอดขึ้นมาก็ “ไม่ได้ อัตตกิลมถานุโยคลำบากเกินไป”

ไม่ลำบากเกินไปจะกำราบหัวใจได้หรือ ไม่ลำบากเกินไปจะเอากิเลสในใจให้อยู่หมัดได้หรือ ไอ้กิเลสในใจที่มันครอบงำอยู่นี่ ถ้าไม่เข้มแข็ง ไม่จริงจังของมัน จะเอามันอยู่ไหม ถ้าเอามันอยู่ได้ ทำความสงบของใจได้ นี่สัมมาสมาธิ ท่านถึงมีความสงบระงับขึ้นมา ฝึกฝนๆ ฝึกฝนขึ้นมา

เวลาท่านเทศนาว่าการ ท่านสอนไง วิปัสสนาอ่อนๆ ฝึกหัดหัวใจของเรา วิปัสสนาอ่อนๆ ให้มันเกิดเถอะ เราเกิดความสงบของใจขึ้นมาเราก็มีความสุขพอสมควรอยู่แล้ว เวลาเกิดปัญญาขึ้นมา เวลาเราเตรียมพร้อม เตรียมความพร้อม ของเรา เราทำอาหารของเรา เราหาวัตถุดิบมาพร้อมหมดแล้ว ถ้าเราไม่ทำให้มันเป็นอาหารขึ้นมามันก็เน่าเสียไป เวลาสติ สมาธิ เราแสวงหามาเกือบเป็นเกือบตาย แต่เวลามันจะเสพขึ้นมามันก็ต้องเสพด้วยปัญญา มันด้วยความสมดุลของมรรค ถ้าความสมดุลของมรรค เราฝึกฝนๆ ทำอาหารไม่เป็นก็หัดทำให้มันเป็น พอเป็นขึ้นมาแล้วจะให้มันประหยัดมัธยัสถ์ขึ้นมา แล้วเวลาทำให้เป็น อาหารมันจะมีรสมีชาติ อาหารมันจะมีคุณภาพ มันถึงจะได้วัตถุดิบที่สดใหม่ วัตถุดิบที่สดใหม่จะทำอาหารให้มีรสเลิศ

ศีล สมาธิที่มันสดใหม่ๆ สดๆ ใหม่ๆ เป็นปัจจุบัน มันสดๆ ร้อนๆ แล้วมันประกอบเป็นอาหารขึ้นมามันจะมีรสเลิศ มันจะมีรสแห่งธรรม รสแห่งธรรมมีการกระทำในหัวใจขึ้นมาอย่างนี้ ถ้ามันทำของมันได้ขึ้นมา นี่ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง

มาวัดมาวาสร้างบุญกุศลของเรา มาสร้างบุญกุศลของเรา เราขวนขวาย ถ้าเราไม่ขวนขวายนะ กิเลสมันครอบงำอยู่แล้ว กิเลสมันครอบงำอยู่ กิเลสไม่ต้องไปบอกมัน มันครอบงำอยู่แล้ว เราเป็นคนดี เราเป็นคนประเสริฐ เราไม่ต้องทำอะไรเลย สุดยอด

สุดยอดมันก็สุดยอดนั่นแหละ ถ้ามีอำนาจวาสนา เขาสร้างของเขามามันก็มีความสุขของเขา แต่เขาตายทั้งนั้นน่ะ แล้วเวลาตายขึ้นมา จิตทุกดวงทั้งทำความดีและความชั่วมา ถ้าสิ่งดีๆ กรรมดีเราใช้ไปหมดแล้วมันจะเหลืออะไร เวลาเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เวลาหมดอายุขัยแล้วไปไหน

เทวดา อินทร์ พรหมเขาให้พรกันนะ เวลาหมดอายุขัยบอกว่าให้ไปเกิดเป็นมนุษย์เถิด แล้วให้สร้างคุณงามความดี สร้างบุญกุศลขึ้นมาจะได้มาเกิดเป็นเทวดาอีก เขาอวยพรกันแค่นี้

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ อาศัยคุณงามความดีของเรา อาศัยทาน ศีล ภาวนาของเรา ต้องอาศัยคุณงามความดี ความดีของเราเป็นทางเดิน เป็นทางเดินถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์แล้วไม่ต้องไปเกิดที่ไหนทั้งสิ้น ไม่เกิดอีกแล้ว ไม่ต้องไปเกิดที่นั่นเพื่อทำประโยชน์ ไปต่อที่นั่นๆ ไม่ต้อง ทำให้มันจบสิ้นเลย ถ้าทำให้จบสิ้นก็ต้องขวนขวายใช่ไหม

ฉะนั้น เวลาให้ขวนขวาย เราต้องพยายามของเรา เราทำเพื่อประโยชน์กับเรานะ นี่ไง ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ มาวัดมาวาก็ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ ถ้าฟังเพื่อเหตุนี้ พอมีศีลมีธรรมขึ้นมาในใจ ถ้าคนมีศีลมีธรรมขึ้นมามันตรงต่อธรรม คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น ทำอย่างไรก็พูดอย่างนั้น พูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น

นี่โกหกมดเท็จไปทั่ว คนมีคุณธรรมได้อย่างไร เวลาศีล ๕ มันยังไม่มีเลย คนเราถ้าลองโกหกโป้ปดมดเท็จได้ จะทำความชั่วยิ่งกว่านี้ ไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้เลย เพราะมันโกหกมดเท็จ ยิ่งโกหกไปแล้ว ยิ่งโกหกมดเท็จ มันถลำลึกไปแล้วมันขัดแย้งกันไปหมด

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีขัดไม่มีแย้งกัน ทาน ศีล ภาวนา เวลาภาวนาขึ้นไป โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล บุคคล ๔ คู่มันจะส่งเสริมขึ้นไป แล้วถ้าส่งเสริมขึ้นไป ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติ เราอยู่ในวงกรรมฐาน ถ้าใครมีคุณธรรม ใครมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เขาจะสงวนเวลาของเขาหนึ่ง สงวนความสงบสงัดของเขาหนึ่ง เพราะสิ่งนั้นมันเป็นเวที เวทีที่จะประพฤติปฏิบัติ ความสงบสงัดอันนั้น ในการวิเวกอย่างนั้น แล้วซื่อสัตย์ซื่อตรงกับตน มีสัจจะอยู่ตลอดเวลา คิดอย่างใด พูดอย่างนั้น ทำอย่างใด พูดอย่างนั้น นี่ไง มันซื่อสัตย์มันซื่อตรงเพราะอะไร เพราะไม่สีลัพพตปรามาส

ถ้ามันยังโป้ปดมดเท็จ โกหกไปทั่ว มันจะมีความจริงมาจากไหนล่ะ มันไม่มีความจริงมาจากใจของตน ใจของตนไม่มีความจริง ไม่มีอะไรเป็นสัจจะความจริงเลย ไม่มีสัจจะความจริง แล้วสิ่งที่ได้มามันคืออะไรล่ะ แล้วลองถ้าทำอย่างนั้นได้มันทำได้ถลำตลอดไป แล้วถลำตลอดไปเป็นอย่างนั้นหรือ พระพุทธศาสนาสอนอย่างนั้นหรือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนั้นหรือ

ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลยังไม่มีเลย แล้วมันจะเอาสมาธิมาจากไหน สิ่งที่ได้มาๆ มันก็จินตนาการมาทั้งนั้นน่ะ พูดไปแจ้วๆ ตามแต่ตำรับตำรา เวลาเขาคัดค้านขึ้นมาก็บอกตำราว่าไว้อย่างนั้น แล้วเอาความจริงไม่ได้ เอาความจริงไม่ได้เพราะมันไม่มีพื้นฐานมา

ถ้ามีพื้นฐานมา คนที่มีพื้นฐานมาของเขา เขาทำของเขามา เขามีอำนาจวาสนามา ขิปปาภิญญา ถ้าจิตเขาสงบแล้วพิจารณาของเขาไป ถ้าเขาสิ้นกิเลสไปก็จบ แต่ถ้าสิ้นกิเลสไปมันต้องมีอำนาจวาสนาสิ

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนางสิริมหามายา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาประสูติ ฝันเห็นช้างเผือก โอ้โฮ! ช้างเผือกนะ มันมีแหวนมีทอง

ไปเปิดประวัติครูบาอาจารย์สิ แม่ฝันเห็นทอง เห็นช้างเผือกทั้งนั้นเลย เอ็งมีอำนาจวาสนาขนาดนั้นเชียวหรือ

นี่ไง พูดถึงคนที่มีอำนาจวาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนางสิริมหามายาฝันเลยนะ ฝันเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาประสูติ ฝัน ฝันว่าช้างเผือกมาเข้าในพระครรภ์เลย ดูสิ นั่นอำนาจวาสนาบารมีของเขา แต่เวลาเกิดมาแล้ว เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ

เวลาอ่านประวัติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาท่านจะออกบวช โอ้โฮ! ละล้าละลังๆ นางพิมพาก็นอนอยู่นั่น สามเณรราหุลก็เพิ่งเกิด แล้วหัวใจของคนมันต้องพลัดพราก โอ๋ย! มันทุกข์ขนาดไหน แล้วออกไป ไปปฏิบัติ เบื้องหลังมันก็อยู่ข้างหลัง ความทุกข์ข้างหลังมันก็วิ่งตามมา ปัจจุบันนี้ก็ตกระกำลำบาก เพราะออกมาจากกษัตริย์ ๖ ปี นี่คนมีอำนาจวาสนาขนาดนั้นนะ แล้วอย่างพวกเราล่ะ

พวกเราทำคุณงามความดีของเรา เราทำคุณงามความดี สาวกสาวกะมีตำรับตำราแล้ว ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีแล้ว ขวนขวายของเรา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเหนื่อยยาก ไปดูทิเบตสิ เวลาเขาจะไปแสวงบุญของเขา เขากราบไปเป็นร้อยๆ กิโล เขาทำของเขาเพราะศรัทธาของเขาไง เขานอนไป นอนไปตลอดเส้นทาง นั่นเกิดจากอะไรล่ะ เกิดจากหัวใจที่เขามั่นคง หัวใจที่เขาศรัทธา

เราเดินจงกรมสิ ทำไมเขาทำได้ ดูสิ เพราะว่าจิตใจเขามั่นคง จิตใจเขามั่นคงในพระพุทธศาสนาใช่ไหม ไอ้เราก็เป็นชาวพุทธใช่ไหม เรามีเป้าหมายอยากจะไม่เกิดใช่ไหม เดินจงกรม ๒ ที เมื่อย นั่งสมาธิหน่อย นอนดีกว่า...เอาเถอะ แล้วมันจะอยู่ที่นี่แหละ

แล้วตั้งใจทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้แล้วมันเป็นการฝึกฝน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้ว ท่านล้มลุกคลุกคลานมาแล้วท่านเห็นโทษของมัน เราจะมาประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะเอาความจริงของเรา

เรามีครูบาอาจารย์เป็นแบบอย่างไง เวลามันทุกข์มันยาก เราปฏิบัติมาใหม่ๆ เราเอาหลวงปู่มั่นเป็นที่พึ่งตลอด เวลามันจะทุกข์มันจะยาก ความเพียรมึงไม่ได้ขี้ตีนหรอก เพราะอ่านประวัติหลวงปู่มั่น เวลาหลวงตาท่านฟังหลวงปู่มั่นพูดทีไร หันหน้าเข้าข้างฝาร้องไห้ทุกที ไปไหนมีแต่คนไล่ เพราะเขาเห็นผ้าดำๆ แล้วเขากลัว เขาวิ่งหนีเลย มันจะมีใครมาอุปัฏฐาก

กลัว เขายังกลัว เขาเห็นพระมาแปลกๆ ก็วิ่งหนีแล้ว เพราะมันยังไม่มีกรรมฐาน อย่าว่าแต่คนที่มาฟังเทศน์เลย ใกล้เข้ามาเขาวิ่งหนีก่อนแล้ว แล้วคิดดูสิ คนเขาวิ่งหนี เขากลัวว่าเป็นเสือเย็น กลัวเป็นผีเป็นสาง แล้วใครจะเข้ามาใกล้ แล้วคิดดู สมบุกสมบันมาขนาดนั้น แล้วความเพียรของเรา เดี๋ยวนี้ดูสิ มีแต่คนพะเน้าพะนอ มีแต่คนยกย่องสรรเสริญ กรรมฐานๆ แต่เดิมมันทุกข์มันยากมานะ นี่พูดถึงเวลาเปรียบเทียบ เวลาท่านเล่าของท่าน หลวงตาท่านร้องไห้ทุกที แล้วความเพียรของเรา ความวิริยะของเรามันได้ขี้ตีนท่านไหม ถ้าไม่ได้ขี้ตีน เอาอย่างนี้มากระตุ้น มาคิดนะ แล้วมันทำให้พยายามกระทำของเราขึ้นมา ทำขึ้นมาเป็นประโยชน์กับเรานะ

คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ เริ่มต้นใหม่ๆ อาจจะผิดพลาดบ้าง เพราะธรรมดาเราวางอารมณ์ไม่ถูกต้อง มันก็ออกนอกลู่นอกทางเป็นธรรมดา แต่เราก็ขวนขวายของเรา เราก็ปฏิบัติของเรา ผิดถูกขึ้นมา เราก็ตรวจสอบของเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ ทำจริงได้จริงขึ้นมา มันจะเป็นธรรมะของเรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด เราก็จะแสวงหากันอยู่นี้ แล้วถ้ามันเป็นความจริงของเรา เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เชื่อตรงนี้ไง กาลามสูตรไม่เชื่อใครทั้งสิ้น เชื่อสิ่งที่ประพฤติปฏิบัติแล้วเกิดขึ้นกลางหัวใจ เอวัง

P